Loading...
Uncategorized

กรมควบคุมโรค เตือนประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลน อาจเสี่ยงป่วยโรคไข้ฉี่หนู

“จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค  สถานการณ์ของโรคเลปโตสไปโรสิสหรือโรคไข้ฉี่หนู ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 12 กันยายน 2564 พบผู้ป่วย 635 ราย เสียชีวิต 4 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ 35-44 ปี รองลงมา คือ 45-54 ปี และอายุ 25-34 ปี ตามลำดับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยจังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด 5 อันดับแรกคือ ระนอง พัทลุง พังงา ยะลา สงขลา ส่วนใหญ่ประกอบชีพเกษตรกร ร้อยละ 31.7”

“การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพของสัปดาห์นี้ คาดว่าในช่วงนี้จะมีโอกาสพบผู้ป่วยโรคเลปโตสไปโรซิสหรือโรคไข้ฉี่หนูเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงนี้มีฝนตกในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังและสภาพพื้นดินเปียกชื้น โรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) หรือโรคไข้ฉี่หนู มักมีการระบาดมากในช่วงฤดูฝนและมีน้ำท่วมขัง โดยเชื้อจะถูกปล่อยออกมากับปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อ โดยเฉพาะหนู และมักปนเปื้อนอยู่ในแหล่งน้ำขังหรือที่ชื้นแฉะ ทำให้ประชาชนเสี่ยงต่อการสัมผัสและได้รับเชื้อโรคดังกล่าว โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรหรือผู้ที่มีการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือแช่น้ำเป็นเวลานาน โดยเชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล รอยถลอกตามผิวหนัง เยื่อบุตา จมูก ปาก หรืออาจเข้าทางผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ยังอาจติดต่อได้จากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน   กรมควบคุมโรค ขอแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลน หรือสัมผัสน้ำที่ท่วมขังโดยตรง  หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น การทำเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ ทำความสะอาดบ้านหลังน้ำลด ควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน อาธิ รองเท้าบูท ถุงมือยาง กรณีที่สัมผัสถูกน้ำในระหว่างทำกิจกรรมให้รีบทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำสบู่และเช็ดให้แห้ง รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ควรล้างผัก ผลไม้ ให้สะอาดก่อนนำมารับประทาน กำจัดหนูและรังโรคในบริเวณที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน และแหล่งท่องเที่ยว สำหรับผู้ที่มีประวัติเสี่ยงแช่น้ำ ย่ำดินโคลน หรือบุคคลทั่วไป หากพบว่ามีอาการป่วยด้วยไข้เฉียบพลัน ปวดศีรษะรุนแรง หนาวสั่น ตาแดง ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะที่น่องและโคนขา ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว พร้อมแจ้งประวัติการสัมผัสน้ำให้แพทย์ทราบ หากเข้ารับการรักษาล่าช้าอาจเกิดอาการตับวาย  ไตวาย และเสียชีวิตได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422”

Share :